ประวัติชาไขมุก
ร้านชาชุน ฉุ่ยถังในเมืองไถจง น่าจะเป็นร้านแรกที่คิดค้นเมนูชาไข่มุกขึ้นมา เมื่อปี 1988 ขณะที่กำลังประชุมอยู่นั้น คุณหลินชิ่วฮุย (ผู้จัดการฝ่ายพัฒนาผลิตภัณฑ์) ได้เทขนมหวานชิ้นเล็ก ๆ ลงไปในชา[2] ทุกคนในห้องประชุมเห็นว่าน่าสนใจ จึงทำออกมาขาย ปรากฏว่า ยอดขายดีมาก ทำลายสถิติเครื่องดื่มชนิดอื่น ๆ[2] บ้างก็ว่า ชาไข่มุกน่าจะมีที่มาจากร้านชาหานหลิน ที่เมืองไถหนาน ประเทศไต้หวัน ของนายถัวซ่งเหอ เขาใส่เม็ดสาคูสีขาวลงไปในชา ทำให้มันเหมือนไข่มุก เป็นที่มาของคำว่า "ชาไข่มุก" หลังจากนั้นไม่นาน หานหลินเปลี่ยนสีสาคูจากสีขาวเป็นสีดำแบบที่นิยมกันในปัจจุบัน ช่วงปี 1990 เครื่องดื่มชนิดนี้เป็นที่นิยมมากในเอเชียตะวันออก และ เอเชียตะวันออกเฉียงใต้[3]
ช่วงเดือนมิถุนายน ปี 2012 ร้านแมคคาเฟ่ของแมคโดนัลด์ สาขาในประเทศเยอรมันและออสเตรียเริ่มจำหน่ายชาไข่มุก มีให้เลือกหลากหลายทั้งชาดำ ชาเขียว และชาขาว, เลือกได้ทั้งแบบผสมและไม่ผสมนม รวมถึงน้ำเชื่อมผลไม้รสต่าง ๆ สามารถสรรสร้างเมนูใหม่ ๆ ได้มากกว่า 250 แบบ[6]
ปริมารแคลอรี่ในชาไข่มุก
นักวิชาการเตือน ชาไข่มุก ชาเย็น กาแฟเย็น เป็นอีกปัจจัยที่ทำให้อ้วน โดยเฉพาะวัยรุ่นนิยมกันมากบางคนดื่มวันละ 3 แก้ว ทำน้ำหนักพุ่งและมีน้ำหนักตัวเกินกว่ามาตรฐาน ชานมไข่มุก 1 แก้ว มิได้มีเพียงแต่น้ำชาเท่านั้น แต่ยังมีน้ำเชื่อม ครีมเทียม และไข่มุกเพิ่มขึ้นมา ข้อมูลทางโภชนาการระบุว่า ชานมไข่มุก 1 แก้ว ให้พลังงาน 240 – 360 กิโลแคลอรี่ (คาร์โบไฮเดรต 45 – 62 กรัม, ไขมัน 0 – 14 กรัม, โปรตีน 0.4 – 2 กรัม) ความแตกต่างของพลังงานและสารอาหารขึ้นอยู่กับปริมาณน้ำเชื่อมและครีมเทียมที่ใส่ลงไป
วิธีทำไข่มุก
ส่วนผสม
1.ไข่มุก 2-3/4 ถ้วย (1 ปอนด์)
2.น้ำร้อน 10 ถ้วยตวง
3. น้ำตาลทรายแดงหรือน้ำตาลทรายขาว 1-2 ถ้วย
4. น้ำผึ้ง(ใส่หรือไม่ใส่ก็ได้) 1-4 ถ้วย
วิธีทำ
1. ใส่น้ำลงในหม้อ (ควรใช้หม้อที่มีขนาดใหญ่และก้นหนา เพราะถ้าใช้หม้อที่มีก้นบางจะทำให้ไข่มุกติดก้นหม้อและไหม้ได้) เปิดไฟแรงต้มจนน้ำเดือดพล่าน
2. รอให้น้ำเดือดจัดแล้วค่อยใส่ไข่มุกลงไป (ห้ามใส่ไข่มุกลงไปต้มในขณะที่น้ำยังไม่เดือด) จากนั้นให้ใช้พายยางคนให้ไข่มุกแตกตัวออกจากกันคนไปเรื่อย ๆ แล้วรอจนเดือดอีกครั้ง อีกประมาณ 35-40 นาที (หมั่นคนทุก ๆ 10 นาทีและต้องคนลงไปให้ถึงก้นหม้อเพื่อไม่ให้ไข่มุกติดก้นหม้อ)
3. พอครบ 35 นาทีแล้วปิดเตา ใช้พายยางคนต่ออีกสักครู่ให้ไข่มุกแยกตัวออกจากกัน จากนั้นปิดฝาทิ้งไว้ประมาณ 25 นาที
4. หลังจากครบเวลาแล้วใช้พายยางคนอีกครั้งแล้วยกหม้อวางลงในอ่างน้ำ จากนั้นเปิดน้ำเย็นใส่ลงไปในหม้อรอให้น้ำที่ต้มชาไข่มุกล้นออกจนหมดและน้ำในหม้อเปลี่ยนเป็นน้ำเย็นเข้ามาแทนที่
5. เมื่อไข่มุกเริ่มอุ่นแล้วให้เทเอาน้ำออกผ่านกระชอน จากนั้นเปิดน้ำเย็นล้างเอาเมือกเหนียว ๆ ออกให้หมดและไข่มุกเย็นสนิท พักไว้ให้สะเด็ดน้ำประมาณ 1-2 นาที
6. ใส่ไข่มุกลงไปในภาชนะที่มีฝาปิด ตามด้วยน้ำตาลทรายแดงและน้ำผึ้ง คนให้เข้ากัน (ถ้าไข่มุกแห้งเกินไปใส่น้ำเปล่าลงไปได้ประมาณ 1/2 ถ้วย)
2. รอให้น้ำเดือดจัดแล้วค่อยใส่ไข่มุกลงไป (ห้ามใส่ไข่มุกลงไปต้มในขณะที่น้ำยังไม่เดือด) จากนั้นให้ใช้พายยางคนให้ไข่มุกแตกตัวออกจากกันคนไปเรื่อย ๆ แล้วรอจนเดือดอีกครั้ง อีกประมาณ 35-40 นาที (หมั่นคนทุก ๆ 10 นาทีและต้องคนลงไปให้ถึงก้นหม้อเพื่อไม่ให้ไข่มุกติดก้นหม้อ)
3. พอครบ 35 นาทีแล้วปิดเตา ใช้พายยางคนต่ออีกสักครู่ให้ไข่มุกแยกตัวออกจากกัน จากนั้นปิดฝาทิ้งไว้ประมาณ 25 นาที
4. หลังจากครบเวลาแล้วใช้พายยางคนอีกครั้งแล้วยกหม้อวางลงในอ่างน้ำ จากนั้นเปิดน้ำเย็นใส่ลงไปในหม้อรอให้น้ำที่ต้มชาไข่มุกล้นออกจนหมดและน้ำในหม้อเปลี่ยนเป็นน้ำเย็นเข้ามาแทนที่
5. เมื่อไข่มุกเริ่มอุ่นแล้วให้เทเอาน้ำออกผ่านกระชอน จากนั้นเปิดน้ำเย็นล้างเอาเมือกเหนียว ๆ ออกให้หมดและไข่มุกเย็นสนิท พักไว้ให้สะเด็ดน้ำประมาณ 1-2 นาที
6. ใส่ไข่มุกลงไปในภาชนะที่มีฝาปิด ตามด้วยน้ำตาลทรายแดงและน้ำผึ้ง คนให้เข้ากัน (ถ้าไข่มุกแห้งเกินไปใส่น้ำเปล่าลงไปได้ประมาณ 1/2 ถ้วย)
ข้อดีและข้อเสียของชาไข่มุก
ข้อดี
1.สดชื่นคลายร้อน
2.แก้กระหายน้ำได้
ข้อเสีย
1.ดื่มวันละหลายๆแก้วอาจทำให้อ้วนได้
2.ในชาไข่มุกมีกรดมาเลอิก ซึ้งเป็นสารอาหารที่ยังไม่ผ่านการรับรอง
3.มีสารเคมีพลาสติไซเซอร์ซึ้งอาจทำให้เกิดมะเร็งได้